Archive for August, 2008

Nottinghill Carnival

เพื่อนหมึกร่ำร้องอยากไปมาสองวันละ วันนี้เบื่อๆไม่มีอะไรทำก็เลยไปซะหน่อยก็ได้ อย่างน้องเราเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน ไอ้ carnival เนี่ยมันเป็นยังไงน้าาาา

โชคดีที่จากบ้านเรานั่งรถสายเดียวก็ถึง nottinghill gate แต่ก็นั่งกันจนยานเชวหละ รถติดพอได้อารมณ์ เมื่อไปถึงก็เห็นฝุงชนมากมายหลั่งไหลกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ อิอิ…ที่ถนน notthinghill วันนี้ถูกปิดเพื่อให้ขบวน carnival ได้แห่พาเรดกันทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ เราไปถึงประมาณ 2 pm. เวลากำลังดี คนก็เยอะพอสมควร สองข้างทางที่เดินเข้าไปจะได้ยินเสียงโห่ร้อง เป่าแตร นกหวีด แซงแซ่ไปตลอดทาง พร้อมทั้งกลิ่นอาหารที่พร้อมเสริฟอยู่ที่ข้างทางอีกมากมาย เพื่อนหมึกได้กลิ่นอาหาร ซึ่งน้ำย่อยหล่อนทำงานตามกลิ่น “Laila !! I’m hungry” นั่นงัย กูว่าแล้ว นี่ขนาดกินก่อนมาแล้วนะเนี่ย แต่ชั้นก็ทำเป็นไม่สนใจไม่ได้ยิน เพราะเสียงดัง 555

เดินลึกเข้าไปตรงบริเวณที่ขบวนพาเรดเดินผ่าน เลยไปหน่อยเป็นย่านอาหารนานาชาติ พาเรดยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นอาหารจีนลอยมาเตะจมูกของเพื่อนชั้นซะแล้ว ชีมุ่งตรงไปยังแหล่งอาหาร คิวยาวเหยียด ราคาถูกupขึ้นจนแพงผิดหูผิดตา แต่ชีก็ไม่ลดละ ไปรอต่อคิว ทั้งควันไก่สะเต๊ะเอย กลิ่นน้ำมันทอดมันฝรั่งเอย โอยยยยย….

หลังจากขีได้อาหารมาอยู่ในมือเป็นที่เรียบร้อย ขบวนพาเรดก็ผ่านมาเหมือนแกล้ง ชั้นอยากดู บอกให้เดินไปกินไปชีก็งอแงบอกว่าไม่ได้หรอก ชั้นขอกินก่อน ชั้นเลยสวมวิญญาณนางมาร ทิ้งหล่อนไว้กับพวกหิวโซทั้งหลาย ชีมีเพื่อนกินมากมายบริเวณนั้นอยู่แล้วชั้นคิด 555 ก็มันอยากดูอะ มาที่นี่ก็เพื่อมาดู carnival นะ ไม่ได้มากิน แล้วชั้นก็วิ่งปรู๊ดไปที่แหล่งชุมนุม

งานไม่ใหญ่มากเหมือนที่ Brazil , Swiss หรือ Spain แต่ก็พอเติมสีสันให้เมืองอึมครึมคึกคักขึ้นมาได้เหมือนกัน สังเกตเห็นคนดำทั้งนั้นทีมาเดิน เล่น เต้น ร้อง กันอยู่ในขบวน เพื่อนหมึกตามาสบทบด้วยอาการงอนนิดหน่อย แต่ชีก็หายได้ด้วยตัวเอง (อันนี้เป็นข้อดีของเธอ รู้จักปรับตัวให้เข้ากับชั้น 555) แต่กว่าชีจะมาถึงขบวนหวือหวาต่างๆก็ผ่านไปหมดแล้ว เหลือแต่รุ่นธรรมดา ไม่โป๊ ไม่เปลือย ไม่แรง เท่านั้นเอง…

ชั้นก็เพิ่งได้ความรู้ใหม่จากเพื่อนหมึกว่า สาวชาว Jamaican เนี่ยเป็นชาติที่สามารถส่ายสะโพกได้อย่างไม่เกรงใจใครจริงๆ เป็นความสามารถที่สืบทอดมาทาง Specie โดยแท้ น่าทึ่งมากๆ เหมือนร่างจะแยกเป็นสองส่วน ยังไงยังงั้น แต่ยังคงเต้นได้ตลอดเวลา

เพลิดเพลินไปกับการเห็นสีสันความบันเทิงสำหรับวันนี้ เอารูปมาอวดด้วย เพื่อนหมึกร้องให้ถ่ายรูปหล่อนตลอดเวลา แต่โทษที ชั้นมันพวกย่ิิงว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งอยากให้ถ่ายกรูไม่ถ่ายให้หรอกชิ 555 เลวมะ ยังไงไปดูรูปกันดีกว่า 🙂

> ร้านขายเครื่องสร้างเสียงรบกวนข้างทาง

> ผู้คนหลั่งไหล

> รมควันหน้าร้านอาหารจีน

> หิว หิว หิว

> ตื่นตาตื่นใจ

> ชุดกระชากใจ เนื่องจากไม่สวมใส่อะไร โชว์เนื้อหนังดำขลับ ตะปิ้งที่ปิดไว้ยังสงสัยว่าแปะไว้ด้วยอะไรอะ ชั้นชอบบบบ

> เห็นแล้วคิดถึงน้องกระเทยที่คณะ งานอย่างนี้บ้านเราคงมีแต่หญิงเทียมมาร่วมงาน

> นกยูงรำแพน

> สาวนี่เดาได้เลยว่า Jamaican

> อันนี้มาเป็นทีมสนุกกันใหญ่

> อยากขอขึ้นมั่ง เพราะบางครั้งมองไม่เห็นอะไรเลย

> แฟชั่นหล่อนเหลือรับประทาน 555

August 29, 2008 at 12:46 pm 30 comments

เฉียด!!

กรี๊ดดดดดดดด…เกือบไปแล้ว เกือบได้งาน Senior Designer แล้วเชว สมัครไปงั้นๆ แหละเผื่อฟลุ๊ค เงินเดือนตีเป็นเงินไทยได้ตั้ง 210,000 บาทอะ ชั้นจะเป็นลมมมม…..

แต่เนื่องจากเราเป็นยังเป็นแค่นักเรียนโง่ๆ ซึ่งไม่สามารถทำงาน full time ที่นี่ได้ เป็นข้อเม้ที่น่าเศร้า…จะว่าไปสมัครงานมาก็เยอะนะ ครั้งนี้ดูเฉียดที่สุดเพราะเค้าโทรมาคุยหลังจาก submit ใบสมัครไปแค่สองชั่วโมง เราก็ตะล่อมหว่านล้อมเค้าไปแล้วว่า เรียนนิดเดียวก็ได้ ทำได้อยู่แล้ว full time อะ แต่เค้าก็แย้งว่ามันเป็นเรื่องของกฏหมายด้วยอะซิ ที่วีซ่านักเรียนทำงานได้แต่ 20 ชั่วโมงต่อ week น่าเสียดายจริงๆ แต่อย่างน้อยก็อิ่มใจละ ที่งานเราเข้าตากับเค้าเหมือนกัน ก่อนวางสายเค้ายังให้ความหวังว่า ถ้าเคลียร์เรื่องเรียนได้เมื่อไหร่ อาจได้เป็น freelance รู้หรอกว่านั่นเป็นปลอบใจ แต่ก็จะสู้ต่อไป ไม่ยอมหมดหวัง ฮึ่มมมม​!!!

เพื่อนหมึกบอกว่าหลังจากเรียนจบที่นี่ เราสามารถขอวีซ่าอยู่ฟรีที่นี่ได้ 2 ปี เพื่อทำงาน คราวนี้ทำงาน full time ได้สบายๆ สงสัยต้องรอความหวังนั่นซะละมั้ง 🙂

แค่นี้แหละ มันดีใจ เลยอดไม่ได้ที่จะเล่าให้ฟัง

It made my day !! Yoo Hoo !!

August 29, 2008 at 12:15 pm 37 comments

Only the strongest will survive !!

Am I too weak or this world is too complicated? I am not sure about that. Even just finding out only the physical method the answer is still unclear so forget about mind. I have realised that the honestly doesn’t work well anymore in this world. As the song is being sung These days you’ve got to kill yourself just to stay alive

August 21, 2008 at 2:34 pm 14 comments

สวรรค์ล่มที่ Reading

ความซวยไม่เคยปราณีฉ้านนนน….เรื่องความฝันของหญิงวัยกลางคนที่อุตส่าห์อดทนเฝ้ารอวันที่ฝันจะหวานดังใจ เพราะจะได้มีตังค์ใช้ซื้อความสวยงามชดเชยให้กับความอับเฉาของวันเหงาๆหลังสอบ…แต่อย่างท่ีบอกว่าสวรรค์ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้หญิงชื่อไลลา…

เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เพื่อนสาวที่เพิ่งมาจากเมืองไทย เพื่อมาเรียนต่อ ปริญญาเอก ที่ Reaading (เมืองที่อยู่ห่างไกลลอนดอนออกไป ประมาณ 1.20 ชม. โดยรถไฟจาก Waterloo, อีกแล้วครับเพื่อน 555) ฮัลโหลมาถามว่าอยากทำงานมั้ย ขายอาหารจีนที่งาน Music Festival ที่ Reading เป็นงาน concert สามวันสามคืน มีวงดังๆมากมายมาแสดง แถมบัตรแพงน่าดู 150 ปอนด์ได้มั้ง รู้เท่านั้นแหละ แค่นั้นก็ช่วยให้คัดสินใจได้ไม่ยากเลย แถมเวลาก็พอเหมาะพอเจาะ เนื่องจากหลังสอบคิดอยู่ว่าอยากจะหาอะไรทำที่ได้เงินเห็นๆ ที่สำคัญเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านช่วงที่ผลสอบยังไม่ออก แต่หัวใจคนสอบออกไปอยู่รอที่ตาตุ่มแล้ว “อืมมม..ไกลนะ เอาเหรอ คุ้มมั้ย คิดดีๆนะไลลา” “โอ้ยยยย…. ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆน่า 5 ปอนด์ต่อชั่วโมงก็เอา (ถ้าทำหลายชั่วโมงก็โออยู่) “ไปๆ จองไปเลยนะอ้อม เราจะทำทั้ง 6 วันเลย” คืองานเค้ามี 3 วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แต่ช่วงก่อนหน้านั้นกำลังสำคัญคือการเตรียมของที่จะขายวันงาน ก็พวกอาหารนั่นแหละอารามงกเงอะ ชั้นเลยสะเออะจองทุกวัน กะว่าหวานๆ ได้กระเป๋าใหม่สักใบก็ยังดี อิอิ….

หลังสอบก็เตรียมตัวเตรียมใจ เนื่องจากไม่รู้ได้เลยว่า งานจะเป็นแบบไหน แล้วไหนจะเรื่องเดินทาง ถ้าไปกลับทุกวัน วันละ 14.50 ปอนด์ ก็เยอะอยู่ แต่ก็เอาเหอะ ยังเหลืออีกเป็นร้อยๆ เช้าวันนี้ วันที่ 19 สิงหา วันแรกของงาน โทรนัดกับพี่ที่เค้าเป็นคนติดต่อประสานงานเรียบร้อย เค้าบอกว่าถ้าได้เวลาแน่นอนแล้วจะเมล์มาบอกให้รอเช็คด้วยนะคืนวันจันทร์หลังเที่ยงคืน ลางมันก็มีให้เห็นอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ดันมองข้าม ก็ตั้งแต่กลับมาจากสอบเมื่อวันเสาร์ internet เจ้ากรรมก็โดนตัด เนื่องจากเพื่อนหมึกเจ้าปัญหามีเรื่องคาใจกับเจ้าของบ้าน ยังไงไม่ทราบได้ ผลร้ายมาตกอยู่ที่นังไลลาเนี่ย “เน็ทหนูไม่มี..พี่ขา text มาบอกหนูทีนะคะว่ากี่โมง เพราะคงต้องออกแต่เช้ามึดอะคะ” พี่เค้าก็รับปากเป็นมั่นเหมาะ เวลานัดเดิมคือ 8 โมงเช้าที่ Reading station ซึ่งชั้นต้องออกเดินทางโดยจับรถไฟเที่ยว 6.20 จาก Waterloo ก็แปลว่าคุณไลลาต้องแหกขี้ตาตื่นตอนตีห้าอีกแล้วหละซิ เอาวะ นอนมันแต่หัววันเลย ห้าทุ่มข่มตาหลับ มันก็ยากแสนเข็ญเนื่องจากมันไม่ชิน..สรุปว่ากว่าจะเข้าระดับหลับลึกก็น่าจะประมาณ เกือบตีหนึ่งได้…พอตีสี่เพื่อนหมึกเคาะประตูปลุกอย่างไม่สนใจความขุ่นเขืองของเจ้าของห้อง เนื่องจากชีต้องการขอยืม printer เพื่อปรินท์ ตั๋วเดินทางให้เพื่อนหมึกของเธอซึ่งจะเดินทางกลับไนจีเรียในเช้าวันนี้เสียด้วย เวรรรกรรมอะไรของชั้นนน…. เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด “ซื้อก่อนซวยก่อน” ก็ต้องแหกขี้ตามาปรินท์ให้มัน จะด่าก็นึกไม่ออก มันง่วงเกินกว่าจะคิด พอปรินท์เสร็จ ก็ไล่มันออกไป กลับมาข่มตาตัวเอง เพื่อขอต่ออีกสักชั่วโมง แต่น่าเศร้า ดูเหมือนมันจะทำไม่ได้ซะแล้ว หนังตาหลับแต่สมองตื่น สรุปว่านังไลลา ตื่นดีสี่เพื่อไปทำงานคะ พ่อรู้ภูมิใจตายเลย..

มาถึง Reading ประมาณ 7.40 มาก่อนเค้าจะได้เห็นว่าตั้งใจจริง แต่…..8 โมงก็แล้ว 8.30 ก็แล้ว ไม่เห็นแม้แต่แววเงาของพี่เจ้า…..textไปเช็ค ก็ไม่ตอบกลับ…โทรไปจิกเพื่อนใหม่ที่จะได้ไปทำงานด้วยกัน เกรงจ้ายยยย….เกรงใจ แต่ไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ หลัวจากนั้นลองโทรหาคุณพี่ที่เค้าติดต่อประสานงาอีกที คราวนี้ชีรับ แต่สิ่งที่เธอบอกหักอกอีแป้นเป็นเสี่ยงๆ “คืองานเค้ายังไม่เรียบร้อยอะคะ งานของน้องผู้หญิงน่าจะเริ่ม ประมาณ บ่าย 3” “อ้าววววว..แล้วไม…มึงไม่บอกกรูตั้งแต่เมื่อคืนนนนน” คิดในใจ ปากบอก “ไปไม่เป็นไรคะ รอแล้วกัน…” ทั้งปี ระหว่างที่นั่งรอเพื่อนสาวมาต้อนรับ ใจก็ยังนึกทบทวนว่า กลับดี-ไม่กลับดี อยู่หลายตลบ เพราะใจมันรู้สึกตะหงิดๆละว่ามันจะไม่ลื่นเรียบเหมือนดังฝัน แต่ว่าไหนๆก็เสียตังค์มาแล้ว ลองกันดูสักตั้ง แล้วกัน…

นั่งอยู่ไม่นานเพื่อนใหม่ก็โผล่หน้าหมวยๆ มาต้อนรับ เธอชื่อ เล็ก (พริกขี้หนู) เป็นโคลนนิ่งป้าไก่ตอนสาวแน่ๆ 555 เหมือนมากๆ มีพลังมากมายในการเมาท์ วันนี้ทั้งวันเลยเพลินไปกับการเรียนรู้จักเพื่อนใหม่ที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้อีกคนในประเทศนี้ เล็กพาชม Reading อย่างถ้วนทั่ว พาทัวร์พลาซ่า ซุปเปอร์ และร้านกาแฟ 555 คุยสนุกเพลิดเพลินจนได้เวลานัดบ่าย 3 โมง เดินกลับไปรอพี่เจ้าตัวดีที่สถานี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววพี่เจ้าเหมือนเดิม เจอแต่น้องสาวน่ารัก เป็นนักเรียนไทยที่มาเรียน Fashion Design ที่ Birmingham ได้สองปีแล้ว อีกทั้งน้องนางยังร่วมทำงานกับร้านอาหารนี้มา 2 ปีติด น้องอธิบายงานคร่าวๆ แต่เรื่องราวที่น้องบอกไม่ได้ตรงกับข้อมูลที่ได้รับมาจากพี่เจ้าแม่แต่น้อย…งง…เซ็ง…ลังเล…แล้วชั้นจะหาคำตอบจากใครได้บ้าง น้องสาวเลยบอกว่าไปถามจากพี่อีกคนที่เป็นเหมือนลูกน้องสายตรงของตาลุงเจ้าของร้านเลยมั้ย น้องเค้าจะไปพอดี เล็กตัดสินใจหนักแน่น “ไปๆ จะได้รู้กันไปว่าจะยังไง” ขณะที่นังไล ยัง งง อยู่เลย เล็กเฝ้าบอกชั้นตั้งแต่แปดโมงเช้ามาแล้วว่า “ทำเหอะอย่าให้เสียตังค์เปล่าๆ ไหนๆก็มาแล้ว” ก็จริงของเล็ก เอาไปก็ไป…

น้องพาเดินลัดเลาะหรือแถวบ้านเรียกอ้อมนั่นเอง 555 ตามถนนที่ฝนเจ้ากรรมตกกระหน่ำลงมาเหมือนแกล้ง เอ่อหรือว่าเตือนว่าอย่าไปเลยก็ไม่รู้ สุดท้ายฝนก็แพ้ความกลัว…จน…ของชั้นกับเล็ก เราเผลอขึ้นรถนังหัวหน้าสายตรงอย่างตัวลอยๆ เหมือนโดนยา เนื่องจากไม่มีการพูดจาทักทาย ก่อนขึ้นรถท่ามกลางสายฝนพรำ หล่อนเพียงชายตาผ่านดั้งจมูกที่แบนราบชนิดสามารถบอกถื่นฐานบ้านเกิดอย่างไม่ต้องเดา มาที่พวกเราแล้วพูดคำเดียว “ขึ้นรถซิ (ยะ)” ชั้นหงิดๆตั้งแต่ตอนนั้นและ คนอะไร้…ไม่สวยแล้วยังไม่มีรู้จักทำตัวให้มันน่ารักน่าใคร่ หน้าตาทะมึงทึง (เหมือนเพิ่งพบว่าสามีหย่อนสมรรถภาพ) วาจาพาที(น่าพาไปฝังกลบสักที สองที) ไปถึงลานจอดรถเพื่อรับบัตร staff ผ่านเข้างาน ในใจชั้นกับเล็กตอนนั้น เราแค่อยากรู้ว่าถ้าจะมาเริ่มทำวันพรุ่งนี้หรือว่าทำแค่เสาร์-อาทิตย์ จะมีปัญหามั้ย แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร สายข้อมือเข้างานก็มาสถิตย์ที่ข้อมือของสองเราแล้ว นังหน้าตูดยัดเยียดหน้าที่ให้เราเข้าทำงานวันนี้อย่างที่เราก็งงๆ สุดท้ายเราก็เลยต้องบอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะทำวันนี้ อยากจะมาถามรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อน เท่านั้นแหละะะะะ คุณเอ้ยยยยยย…ชีเขวึ้ยงค้อนปอนด์ ใส่หน้าเราหนึ่งที ก่อนพูดกับเราอย่างมะนาวเน่าว่า “แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ ทำไม ไม่บอกก่อน..ชั้นจะได้ไม่เอาบัตรผ่านให้พวกเธอ ไม่รู้หละเธอต้องเข้าไปบอกกับเจ้าของร้านเอาเอง ว่าจะไม่ทำ ไม่งั้นชั้นก็โดนด่าอยู่คนเดียว” เล็กพยายามจะอธิบายแต่แม่นางเธอท่าทางจะลืมสมองไว้ที่บ้านเกิด หล่อนจึงไม่สนใจรับฟัง แล้วเดินหนีไปจากไป….ชั้นกับเล็กตัดสินใจได้อย่างพร้อมกันแบบไม่ต้องนัดหมาย “ไม่ทำละนะ ไม่ว่าจะวันไหนก็ตาม…” ถอดสายข้อมือคืนน้องเค้าไปอย่างหงุดหงิด พร้อมบอกลา

เราลาจากเงิน 300 ปอนด์ที่คาดว่าสายตัวจะขาดตั้งแต่ 150 ปอนด์แรก แล้วเดินจากมาอย่าง เซ็ง..งง..หงุดหงิด..ขุ่นเคือง.. ยังไม่เริ่มงานก็กดขี่กันแล้ว ถ้าไปทำแล้วมันชี้หน้าด่าแม่ชั้น ชั้นจะทนไม่เอาฝาหม้อฝาดกระบาลมันได้งัย ดังนั้นชั้นว่าการต้ดสินใจของเราครั้งนี้ถือเป็นมติ…

เล็กเดินกลับมาส่งที่สถานี นั่งรถกลับบ้านพร้อมความว่างเปล่าในกระเป๋า ไม่มีเงินใหม่เข้ามา แถมเสียเงินเก่าไปอีก รถไฟก็ดันมาเสียเวลาหลีกที่กลางทางซะอีก เอ้อ…มันมีแย่กว่านี้มั้ยเนี่ย..แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาจากการเดินทางครั้งนี้เอาเสียเลยนะ อย่างน้อยๆก็ได้เรียนรู้ว่า คนไทยนี่แหละที่ชอบกดขี่กันเอง ยังจำได้ดีเมื่อครั้งไปสมัครงานกับเพื่อนหมึกที่ Arsenal เค้าปฏิบัติกับเราเสมือนกับคนที่มาสมัครตำแหน่ง manager แม้จะแต่ retail assistance แล้วนี่คนไทยด้วยกันแท้ๆ น้ำจิตน้ำใจมันเอาไปลืมไว้ไหนกันวะ ไม่เอาอีกแล้วงานที่ต้องทำร่วมกับเจ้าของคนไทย เข็ด…หลาบบบบ…

ที่สำคัญลืมเสียไม่ได้ว่าอันที่จริงเงิน 14.50 ปอนด์ แท้จริงไม่แพงเลยกับการได้มาซึ่งเพื่อนใหม่ เพื่อนที่คุยกันนำ้ไหลไฟดับแม้เพิ่งพบปะกันแค่เพียงครั้งแรก ได้เพื่อนเพิ่มในวันสวรรค์ล่ม ต้องขอบใจพรหมลิขิต ที่วันนี้กลายเป็นวันพบญาติของคนไทยไกลบ้าน ไม่ได้พูดไทย แบบที่ขอเรียกว่า พ่น น่าจะเหมาะกว่า ก็ไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่ 9 โิมงเช้า ยัน 5 โมงเย็น คิดดูดิ แต่ก็สนุกดีหวะ ขอบใจนะ เล็ก หายคิดถึงป้าไก่ไปเยอะเลย 555

August 20, 2008 at 10:20 pm 13 comments

เสียวกว่านี้มีอีกมั้ย ??

Don’t expect to read something erotic.. haha It is just the last thing about IELTS that I would like to share with you. “IELTS’s journey disaster”..It will be recorded in my 2008’s life diary, definitely.

It was started after I had decided to take the train from Waterloo station as I genuinely  thought that it was closer than Victoria station. Regrettably, that was the big mistake I made.

I woke up at 5 o’clock and I left the house at 5.30 o’clock I got the Waterloo station around 6 am. I was so relax as I knew that I had left plenty of time to catch the train at 6.20 am. (I checked train’s time table the night before it said, 6.20 am. from Waterloo would take me to Eastbourne at 8.13 am.) But it didn’t happen smoothly like that plan. I couldn’t find any train which was going to Eastbourne on the time table screen, so I asked one officer who was about to leave the station “where can I find the train to Eastbourne?” he didn’t answer but he brought me to the platform that I could take it instead. But from there I had to change at London bridge station and look for another train to continue my journey. Unfortunately, I couldn’t find any train from London bridge which would go directly to my destination. Moreover, I had been told  from the clumsy officer to wait at the wrong platform for 10 mins. I went back and asked him again, his apology didn’t help me get Eastbourne quicker, so I told them that I had to arrive there for the exam before 9 am. but his answer broke my heart completely. I had just lost the train which was going to the next station a second ago. I was getting mad, and he continued telling me ” But even you had have caught that train It wouldn’t take you to Eastbourne anyway” ” WHAT??” My body started shaking as I felt so panic “I must do not miss this exam, no one can do this to me” I complained to my luck silently. Finally, after had been asking that guy for about 5 mins, God sent one woman officer, who had heard my story from the beginning, to help me, and she did help me intensively, she checked and called to ask the next station also the time of any train that I could take. Lastly, she gave me a significant solution, taking the train directly to Brighton and changing there to Eastbourne, it would be on time. Gosh!!! I ran to the platform and I was about to miss it again. All the way going to Brighton I couldn’t stop my body shaking from nervous and excited. That became cause of my loosing mark in the first part of listening test as my hands still shaking and my feeling hadn’t been settle yet at that time……but in the second and the next next parts were gone smoothly…..The end of IELTS disaster…..

Coming back to london with direct train from Eastbourne to Victoria station, comfortably. If I had have taken the train from Victoria I wouldn’t have been in trouble like that. hahaha But you have known me well, haven’t you? My life has never been easy.. But I love it anyway..Thanks god for every tests which make me getting stronger day by day.. 😀

August 18, 2008 at 2:56 pm 10 comments

Goodbye IELTS !!!

Whew!!!  I didn’t feel so comfortable and relax this much after I have realised that I had to face with my close friend (IETLS) again, it was two months ago. Two months with only IELTS, started on the beginning of the day; after fueling something in my stomach, one purpose of this process was just only preventing it from screaming whilst I was paying all of my attentions on confusing passages on reading practices, then I started to sat my lovely bottom down on my uncomfortable chair and from that time my day had passed unnoticeably, until the time when I lifted my face up it was the same time with my window view was getting dark. Routine life had carried on like that for almost 2 months. Now it’s done!!! I chased IELTS away from my life, and will never go back to meet it again, definitely. Sounds over the top, isn’t it? but if you have been talking it for 4 times (not included 2 times TOEIC) as I did you will understand my feeling perfectly.

Yeah!!! 4 times, you have heard that correctly, 2 times in Thailand and 2 times here, England. If someone asked me how can I bear it I have only one answer to tell them “I don’t know” hahaha..really I don’t know. It was just something that I have to accept it. This might be my punishment of my laziness and abandon on English language since I was in primary school till university.

I was like a 3 years old student when I first entered the special English course at Wall Street language school, Thailand..It was a big stupid investment in my life. I paid a huge money with hope to improve my ability on English but I got nothing from there. It might be my mistake somehow that I didn’t pay much attention on it enough. Before I finished the course there I had been looking for another institute where should be cheaper than Wall street and luckily found IDP where I felt like my brain was getting bigger a little bit during studying there. After 3 months at IDP some of my classmate asked me to try IELTS preparing course as we had the same purpose “study aboard” at Chula-longkorn university. I took 3 months course at Chula where I said Hello to IELTS the first time, Chula was a fantastic place to learn any knowledge as it is best well-known university in Thailand. The end of the course was the first examination I took. As you could guess easily the result come out badly at 5 band score. One month later I took again cos I needed the better result for applying the course in university in UK. The next result slightly rose to 5.5 band score. Unfortunately, it wasn’t good enough to be accepted to study in this country. So one thing that I could think about at that time was “let go and live there, get used to environment, people and language, this would be the last and best method for my stupid brain to learn. I took a risk coming here and seriously studied English 6 hours a day for 3 months at LSI International language school in Brighton, UK. I took the exam here last year after 3 months in UK, my score rarely increased to reach at 6, as all of you have already known about “6” my magic number of this year. Obviously, the result was less than all the universities here required. My life had been in the dark world (with dark flat mate 555) for a moment after that fail. Suddenly, my last decision was coming up while I was about to give it up.”I have to try again”. From that time to now, it was about 7 months ago. I took it again today, when was my last time for IELTS examination, I have strongly made my decision to stop for pressures and stresses from taking it. I couldn’t do it better than this, and whatever the result coming up with I won’t be devastated, sad or upset anymore. Because I already did my best and no more for English language which has taken my huge investment  in my life. It isn’t only about the money also my time, feeling and proud what have been taken away from me long long time.

I called my father as soon as I came out from the testing room. I was happy with what I had done in there, so I needed to tell one important person who has always supported and given me this enormous chance to do what I repeatedly keened to do. He said something which touching my heart strongly “Come back home whenever you want, ok? I don’t care your degree, actually, I have never minded about it, ever. At least I know that you have tried so hard, com back home my girl”. I almost cry with that beautiful words, I have to say sorry to him though cos my result  certainly coming up with the good score this time, I have kept telling myself this since 2 months ago. 🙂

Anyway, keep your fingers cross for me my friends, I still need it from all of you. hahaha..

August 18, 2008 at 2:52 pm 8 comments

I wish you love

Have you ever been in a silent day like this?

In the raining day; the day that has been raining since you wake up till you get in bed again, you have no idea to do anything, your brain stop working unreasonably, there is nothing to do better than lying down on the bed and let your mind flying away somewhere. I have realised the sentence  “Loneliness can kill you softly” today. Moreover, loneliness in this country where it can better increase itself  than anywhere else because of the suck weather. I killed my day with reminding everything in the previous time, reading my blogs since the first page till the present page, looking at the pictures that I took and taken with everyone, searching my some memories from youtube.

Gosh!!! It did work very well, I got this memory by accident, the film from HBO which i watched (twice) in Thailand before coming here. “Prime” i don’t know if anyone has ever watched it or not. By the way, i just love the song, the sweet soundtrack which comes up 5 mins before the end of the story. This song is being sung in many versions by many artists such as Frank Sinata, Micheal Bubbe and so on, but i love this one, which sung by Rachael Yamagata, the most, might be captivated by the film somehow. Nothing special actually, it is just a simple romantic film, but i wish you love 🙂

August 10, 2008 at 10:58 am 35 comments

ผิดหวังซ้ำๆ ที่ Arsenal…

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ฟ้าไม่สดใส เพื่อนหมึกหม่นหมองเนื่องจากเงินไม่เข้าบัญชี ไม่มีตังค์จ่ายค่าบ้าน ค้างเจ้าของมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ยัยเจ้าของก็โทรถามตามจิกไม่ย่อท้อ เพื่อนหมึกนั่งหน้าหม่น ซึ่งปรกติก็หมองอยู่แล้ว อยู่ในห้องมืดๆ เงียบเชียบบบบ……..

แต่ก็ได้ไม่นาน ชีก็ลั้ลลามาบอกว่า “ชั้นเพิ่งสมัครงานไปเค้านัดไปสัมภาษณ์ พรุ่งนี้ ไปด้วยกันมั้ย” เอ่อ “งานอะไรหละเธอเอ้ยยย”ชีบอกว่า “retail assistance” อืมมม “นั่นมันก็เด็กเสริฟใช่มัย” ไม่ต้องมาเรียกหรูเลย เธอก็ร้องลั่นบอกว่า “ไม่ช้ายยย ไม่ใช่ มันเป็นงานชั้นสูงกว่านั้นประมาณครึ่งชั้น” เออ เอาไปก็ไป ไปที่ไหนละ………..แต้แนนนนน…….Arsenal Stadium งัย

กว่าจะมาถึงสนามบอลเล่นเอาเกือบบีบคอนังดำนี่ให้ได้ ไม่มีเล้ยยยยสักครั้งที่ชีจะไม่นำไปผิดทาง เหมือนฟ้ากลั่นแกลังให้รถสายประจำที่เคยนั่งมีอันต้องเปลี่ยนเส้นทาง แล้วนี่ก็เป็นเหนือสุดของลอนดอนเท่าที่ชั้นเคยไป ถ้าไปรถไฟใต้ดินจะเร็วและง่ายเพราะสายเดียวถึง แต่มันแพงก็เลยลองนั่งรถเมล์กันดีกว่า นั่งจากหน้าบ้านไปต่อที่ สะพานลอนดอน นั่งตะลอนไปออกทางเคมเด็นทาวน์ ทะลุออกไปทางเหนือนิดนึง (จริงๆก็คือตรงบ้านที่น้องสาวจากสวิสฯมาอยู่เมื่อเดือนก่อนนั่นเอง) ชั้นว่าอันที่จริงลอนดอนเนี่ยเล็กมากนะ เพราะมองจากในแผนท่ีแล้วคิดว่าน่าจะใช้เวลานานกว่านี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ไกลเลย จากเหนือลงใต้สุดไม่น่าเกิน สองชั่วโมง ลองเทียบจาก อ่อนนุชไปบางพลัด น่าจะพอๆกัน อิอิ…

ลงที่หน้าสถานี Arsenal เลย แต่อีตึกที่เค้าแจ้งไว้ในใบนัดมันไม่ใช่ตรงนี้ ก็เลยเดินมึนๆถามคนนั้นคนนี้ บางคนบอกให้นั่งรถไป  บางคนบอกให้เดินไป งงกันใหญ่ สุดท้ายเดินไปถามพี่ผู้ชายผิวเดียวกัน (ดำนั่นเอง) ต้องร้องจ๊ากกกก เมื่อพี่ผู้นั้นเป็นชายในร่างหญิง ใช่แล้ว เป็นทอมแก่ นั่นเองเห็นแล้วคิดถึงพี่ที่ออฟฟิตเก่าเลย 555 เธอเป็นทอมร่างใหญ่ หัวสกินเฮด เกิดมาเพิ่งเคยเห็นทอมดำ ยัยเพื่อนหมึกชั้นก็สอบถามไปสอบถามมา พี่ทอมบอกว่าให้ขึ้นรถ เดี๋ยวจะขับไปส่ง ว้ายยยยยยย นังนี่มีเสน่ห์กับคนดำทุกเพศทุกวัย 555 แต่ตอนนั้นใจชั้นบอกว่า อย่าขึ้นแกน่ากลัวจะตาย แต่ไม่ทันการ เพราะนังเพือนหมึกขึ้นไปเสนอหน้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่แล้ว ชั้นก็ต้องขึ้นไปโดยปริยาย นั่งตัวลีบติดขอบประตูเลย กะว่าถ้ามีอะไรกูโดดออกก่อนเลย พี่ทอมก็นั่งจีบนังดำเพื่อชั้นไป ฟังเพลงเร๊กเก้ไปตลอดทาง ถามกันไปถามกันมา ดั้นนนน…..เป็นคนบ้านเดียวกันกับนังหมึก 555 สุดท้ายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ขอบคุณเสียงดังๆ ที่พี่ทอมแสนใจดีขับไปส่งถึงหน้า stadium อย่างสบาย ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย เอ้ออออ….

มาถึงหน้า Emirate stadium ทนไม่ได้ต้องชักรูปสักหน่อยไปอวดพ่อ เพราะทุกครั้งที่โทรหาพ่อจะลุ้นให้ไปดูบอลที่สนามอย่างนี้ให้ได้ทุกที คงเป็นความฝันของแกอะ 555 เข้าไปนั่งรอคิวสัมภาษณ์ เค้าถามเรื่องเอกสารต่างๆ เราก็นำมาครบ แต่เค้าดันถามหา references  ซึ่งชั้นไม่มีใครที่จะมาเป็นได้ โทรหาเพื่อนเพื่อน เพื่อขอเบอร์โทรของคุณครูภาษาอังกฤษที่เคยเรียนเมื่อครั้งก่อน เพื่อนก็ไม่รับ ไม่มีใครตอบกลับ สุดท้ายก็เลยหมดสิทธิ์ในการสัมภาษณ์ไป น่าเสียดาย เซ็งสุดๆ เพราะไอ้รายชื่อ references เนี่ยเค้าไม่ได้บอกให้เตรียมมาด้วย ไม่งั้นเราก็หาได้อยู่แล้ว เซ็งมาก ไหนจะต้องมานั่งรอนังเพื่อนหมึกเข้าไปสัมภาษณ์ อีกเป็นเวลาสองชั่วโมงอะ แล้วอีตอนที่นั่งรออยู่เนี่ย เพื่อนๆที่ส่งข้อความไปขอความช่วยเหลือก็ส่งกลับมากันพัลวัน แต่มันไม่ทันแล้วงัยเพื้อนนนนน……แล้วขอโทษสองชั่วโมงผ่านไป นังหมึกเดินยิ้มร่าออกมา มันได้งานครับท่านผู้ชม โหยยย ดูดิชิวิตชั้น ซวยกว่านี้มีอีกมั้ย ไปสม้ครงานเป็นเพื่อนมันทีไร มันได้งานทุกทีอะ แต่ชั้นไม่เค้ยยย ไม่เคยยยย…….

ขากลับ นั่งนี่ก็นั่งหน้าบานมาตลอดทาง แต่ชั้นอะหน้าหุบเป็นดอกบัวตูมเลย ไม่ใช่เพราะเรื่องงานอีกต่อไป คือว่าขึ้นมาบนรถเมล์งัย แล้วก็นั่งหลังคนขับเลย เพราะที่อื่นมันเต็ม นั่งไปได้สักพักก็ได้กลิ่นกายชายเหงื่อๆโชยมา ก็นึกว่าพวกที่ขึ้นมาใหม่ เหม็นมากกกกอะ ชวนเวียนหัวเลย นั่งไปเรื่อยๆ กลื่นก็ไม่จางลงเลย ทั้งที่ข้างหลังก็ไม่มีใครนั่งแล้ว ก็เริ่มหงิดๆละว่ามันเป็นของใครกันแน่ จนกระทั่งมีผู้หญิงคนนึงเดินขึ้นมาบนรถ แล้วแสดงท่าทางชัดเจนมาก ชีร้องยี้ แล้วเอามือปิดจมูก ทำอย่างงี้เลยตอนที่จ่ายค่าโดยสารอะ เลยมั่นใจได้เลยว่า เป็นของคนขับนั้นเอง นังเพื่อนหมึกผู้โชคดี นั่งริมหน้าต่างเลยไม่ได้กลิ่น กูจะเป็นลมแล้ว เลยต้องพยายามหาช่องทางย้ายที่นั่ง แต่กว่าจะได้ที่นั่งใหม่ร่างกายชั้นก็รับเอาสารร้ายมาหมักหมมซะเต็มแล้ว คิดดูดิว่าดั้นนนนโชคดีที่เจอสายรถเมล์ที่นั่งจาก Arsenal เกือบถึงบ้านเลยอะ แต่ไมมันต้องโชคร้ายมาเจอคนขับเจ้ากรรมนี้ด้วยก็ไม่รู้ แสบจมูก ไม่รู้ทางเดินหายใจอักเสบหรือป่าว แต่ที่แน่ๆเวียนหัวจะเป็นลมอะ….

สรุปว่า ไม่ได้อะไรเลยวันนี้ นอกจากสารพิษ แล้วยังเสียค่ารถเมล์ รวมกับค่า Mc ที่ไปนั่งกินระหว่างรอนังเพื่อนด้วย หนังสือก็ไม่ได้อ่าน-เรียน เซ็งงงงงงงงงงงงงง…….โว้ย

> หน้าโลโก้ปืนใหญ่ Arsenal ก่อนไปผิดหวัง

> กับเพื่อนหมึกบนรถเมล์ ลั้ลลามากๆ เหม็นจะตายมันยังจะถ่ายอยู่อีก 555

August 9, 2008 at 9:10 am 21 comments


กำหนดลมหายใจ

หัวใจเต้น

  • 25,775 hits

วันคืนเดือนปี

August 2008
M T W T F S S
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031